คนสองยุค ตอนที่ 4
-----------------------------------------------
วันพุธ ที่ 11 มกราคม พ.ศ.2560
กรณีธรรมกาย คงจำกันได้นะครับว่าผมได้เริ่มเขียนความเห็นครั้งแรกด้วยข้อความนี้ จากข่าวใหญ่เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ที่เขียนว่า มีนายตำรวจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า
------------------------------
“วันนี้เจ้าหน้าที่จะไม่มีการนำกำลังบุกเข้าไปตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด โดยตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุใด ๆ กับประชาชน วันนี้ เวลา 17.00 น. ตนจะลงพื้นที่ดูแลการปฏิบัติงานด้วยตนเอง และมั่นใจว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เนื่องจากได้กำชับผู้ปฏิบัติให้ใช้ความละมุนละม่อม ทำทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมาย”
-นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของนายตำรวจใหญ่
ผู้แม่นในข้อกฎหมายในวันนั้น-
------------------------------
และเราจบตอนที่ 3 ด้วยความเห็นที่มั่นใจเกือบ 100 % ว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 นั้น พิสูจน์ได้ว่า
การที่ตำรวจเข้ารื้อถอนประตูรั้วของวัดพระธรรมกายไป เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่กรรมสิทธิ์ของวัดพระธรรมกายอันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และรั้วที่รื้อไปนั้นก็สร้างขึ้นมาถูกต้อง เพราะได้รับยกเว้นระยะร่นจากคลองสาธารณะตามกฎหมาย
#เมื่อเป็นเช่นนี้การบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์โดยการรื้อรั้วไปนั้น เป็น คดีที่วัดมีโอกาสสูงที่จะฟ้องกลับนี้
ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ !!! ??
กรณีผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของตนหรือไม่นั้น เรื่องนี้ มีเขียนไว้ใน “คู่มือการดำเนินการทางวินัยสำนักงาน ก.พ.” ซึ่งเรียบเรียงโดย พ.ต.อ.ธวัช ประสพพระ ผกก.กลุ่มงานนิติกรด้านสอบสวนและพิจารณาโทษกองวินัย เขียนเรื่องวินัยตำรวจไว้อย่างนี้ครับ
#วินัยตำรวจ
มาตรา 78 (2) ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะไม่เป็นการรักษาประโยชน์ของทางราชการ จะเสนอความเห็นเป็นหนังสือทันที เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งนั้นก็ได้ และเมื่อได้เสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติตามคำสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม แต่เมื่อทราบโดยแน่ชัดว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย เมื่อชี้แจงแล้วไม่ต้องทำตาม ถ้ายังทำตาม ผู้ปฏิบัติตามต้องรับผิดชอบด้วย
“คำสั่ง” หมายถึง ข้อความที่บอกให้ทำหรือให้ปฏิบัติ คำสั่งในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือเสมอไป อาจเป็นคำสั่งด้วยวาจา หรือด้วยวิธีอื่นก็ได้ ท่านยกตัวอย่างว่า ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปพบเพื่อปรึกษาข้อราชการ แต่ไม่มาก็เป็นการขัดคำสั่ง
เป็นการยืนยันว่าคำสั่งด้วยวาจา
ก็ถือเป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติครับ
# จบข่าวนะครับ ที่เคยพลิ้วว่าเป็นเรื่องของ อบต.กับ วัดไม่เกี่ยวกับตำรวจบ้าง, ที่ประชุมสั่งการจนคลิปหลุดมาบ้าง, ที่ลูกน้องคนที่มาติดหมายมากระซิบขอความเห็นใจจากทนายวัดว่านายสั่งมาบ้าง แม้เป็นการสั่งการด้วยวาจาเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดของตน ตามภาษาวันรุ่นว่า “ไม่ใจเล้ย” ก็หนีไม่พ้นเพราะวินัยตำรวจกำหนดไว้ครับ หลักนี้ใช้ได้ทุกกรณีที่เราได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่เฉพาะกรณีวัดพระธรรมกายที่เดียว
เป็นที่มาแห่งการฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานประพฤติหน้าที่โดยมิชอบ ที่เรียกกันว่ามาตรา 157 ได้อย่างดี นะครับ
------------------------------
แต่เมื่อวิเคราะห์คำให้สัมภาษณ์นักข่าว
ที่เป็นคลิปเสียงด้วยข้อความข้างต้น
ซึ่งทางวัดพระธรรมกาย
ได้เก็บเป็นหลังฐานไว้เรียบร้อยแล้วนั้น
...สรุปได้ว่า...
1.ท่านเป็นผู้ออกคำสั่ง ตามข้อความที่ว่า “วันนี้เจ้าหน้าที่จะไม่มีการนำกำลังบุกเข้าไปตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด โดยตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุใด ๆ กับประชาชน”
2.ท่านเป็นผู้ลงมือปฏิบัติงานเอง ตามคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า “วันนี้ เวลา 17.00 น. ตนจะลงพื้นที่ดูแลการปฏิบัติงานด้วยตนเอง และมั่นใจว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เนื่องจากได้กำชับผู้ปฏิบัติให้ใช้ความละมุนละม่อม ทำทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมาย”
------------------------------
โดยสรุป นายตำรวจใหญ่นั้นสารภาพด้วยตนเองว่า ตนเองเป็นผู้สั่งการและร่วมลงมือในการปฏิบัติการรื้อถอนประตูรั้ว ของวัดพระธรรมกายด้วยตนเอง ชัดเจนนะครับ
------------------------------
#ถ้าปฏิเสธก็เปิดคลิปเสียงให้สัมภาษณ์ยืนยันไป จะได้ไม่อ้างว่าเป็นเสียงเลียนแบบของมนุษย์ 100 เสียงอีก ส่วนเจ้าหน้าที่ต่างๆ อีกเกือบ 1,000 คนนั้นก็ ดูรูปถ่ายเป็นหลักฐานใครทำก็ฟ้องคนนั้น แต่ถ้าให้การว่าใครสั่งมาแล้วโต้แย้งแล้วตามระเบียบก็กันเป็นพยานไป รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่เดินนำเข้ามาด้วยนะครับ
มาตรา ๓๖๒ ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อ... หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๖๕ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๖๒ .....
(๑) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับความเห็นผมน่าจะเป็นการบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตาม มาตรา ๓๖๕ (๑) เพราะการยกกำลังมามากมายขนาดนั้นแม้ไม่ได้พูดว่าจะทำอย่างไร แต่ก็เป็นการขู่โดยการกระทำให้เห็นว่าถ้าไม่ยอมก็จะบุกโดยใช้กำลังที่ยกมานั้นเข้าดำเนินการ
แต่ที่ชัดๆคือมาตรา ๓๖๕ (๒) ร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป อันนี้ไม่ต้องอธิบายนะครับ
คงสรุปเรื่อง
การรื้อประตูรั้ววัดพระธรรมกาย
ด้วยข้อกล่าวหาบุกรุกพื้นที่ทางสาธารณะไว้ให้คิดดูว่า
ใครน่าจะมีความผิดเรื่องอะไร ?
อะไรถูกอะไรผิด ?
ตามประโยคเด็ดของท่านผู้นำไว้เท่านี้ก่อน
อย่าไปอนุโมทนาบาปนะครับ
หากมีใครต้องถูกฟ้องกลับบ้างครับ
*** มีข่าวล่าสุดมาว่า หลังจากทีมทนายวัดเริ่มมีการโต้ตอบข้อหาต่างที่ยัดเยียดมา อย่างเข้มข้น คนที่ผมบอกว่า”ไม่ใจ”นั้น ได้เปลี่ยนคำให้สัมภาษณ์ใหม่ ว่า " ที่ไปทำการรื้อประตูรั้ววัดพระธรรมกายเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.59 นั้น ไม่ได้ไปตามที่กรมธนารักษ์มาร้องทุกข์กล่าวโทษแต่อย่างใด" กลายเป็นว่ารื้อเพราะสร้างรั้วกีดขวางทางจราจร ***
" ก็เลยได้ความรู้ใหม่มาอีกว่าการสร้างรั้วแสดงแนวเขตในพื้นที่ของตน เป็นการกีดขวางทางจราจร "
ผมเคยถามสิบตำรวจเอกงานจราจรท่านหนึ่ง (ไม่ใช่พลตำรวจเอกนะครับ) เขาบอกว่า พรบ.จราจรนั้นมีไว้ใช้ในที่สาธารณะเท่านั้นไม่เกี่ยวกับในพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่งั้น “คนขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ใส่หมวกกันน๊อคในบ้านก็คงถูกจับหมด" แล้วครับ ที่สงสัยยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรแล้ว ต้องให้เจ้าหน้าที่ธนารักษ์จังหวัดนำเข้าพื้นที่ทำไม ? มันเกี่ยวกันตรงใหน ? ตอบให้ได้ใจหน่อยซิ
นี่หรือคือผู้รักษากฎหมายไทยในยุคนี้
เราต้องทนอีกนานไหมครับ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม
แล้วพบกันใหม่ตอนที่ 5 ครับ
#ปกป้องพระพุทธศาสนา
#วัดพระธรรมกาย